Warning: file_get_contents(http://graph.facebook.com/?id=http://wci.co.th/article/Productivity/257/4-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A5): failed to open stream: HTTP request failed! HTTP/1.1 400 Bad Request in /home/wci/domains/wci.co.th/public_html/blog-detail.php on line 78
1. กำหนดหัวข้อรายการ
หากว่าเรารู้ว่า ในแต่ล่ะช่วงเวลาเราต้องทำอะไรบ้าง? ทุกอย่างมันก็จะรวดเร็วขึ้น 50% ครับ เพราะเราได้ตัดขั้นตอนที่ใช้เวลานานที่สุดออกไปแล้วซึ่งนั่นก็คือ "การคิด" การที่จะต้องมานั่งคิดว่าเราควรจะต้องทำอะไรบ้างนั้นมันเสียเวลามากนะครับ โดยธรรมชาติ "สมองคือเครื่องจักรผลิตความคิด" เมื่อคุณเปิดเครื่องจักร มันก็จะทำหน้าที่ของมันอย่างสุดความสามารถ ซึ่งนั่นก็คือการคิด คิด และก็คิด คุณจะค้นพบว่าสมองของคุณสามารถนึกและคิดทุกกิจกรรมที่ควรทำขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่สามารถตัดสินใจได้เลยว่าควรเริ่มทำอะไรก่อนหลัง ซึ่งนั่นก็คือข้อเสีย คนส่วนใหญ่ไม่รู้รูปแบบการทำงานของสมองในข้อนี้ พวกเขาก็จะเอาแต่นั่งคิดและติดอยู่กับที่ กว่าจะได้เริ่มทำอะไรสักอย่างที่ใช้เวลามากโขทีเดียวครับ
2. เลือกทำเฉพาะในส่วนที่สร้างผลกระทบมากกว่าก่อน!
คุณต้องจัด majority/minority ตามกฏธรรมชาติ 80/20 ครับ และยังต้องทำให้มั่นใจด้วยว่าใน majority ของคุณนั้น คุณได้ลงมือทำอย่างสุดความสามารถ เพราะส่วนนี้คือส่วนที่สามารถสร้างผลกระทบต่อชีวิตของคุณได้มากที่สุด หากคุณครึ่งๆ กลางๆ ผลลัพธ์ก็จะครึ่งๆ กลางๆ และที่สำคัญนะครับคุณภาพของผลลัพธ์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับจำนวนกิจกรรมที่คุณได้ลงมือทำ ทำเยอะไม่ได้หมายความว่าจะต้องได้เยอะ เพราะหากสิ่งที่คุณทำ มันคือ minority ต่อให้คุณทุ่มเทแค่ไหน ผลลัพธ์มันก็ออกมาได้แค่เท่ากับขนาดของ minority นั้นๆ ครับ (ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย)
3. ขณะลงมือทำ จงให้ความสนใจเฉพาะกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตอนนั้นๆ
อย่างที่ผมได้บอกไปในข้อแรกครับ สมองของคนเราคือเครื่องจักรผลิตความคิด และคนส่วนใหญ่ก็มักจะไม่รู้ตัวในขณะที่ตัวเองเผลอคิด ซึ่งนั่นเองก็เป็นที่มาของคำว่า "ขาดสติ" เพราะคุณไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันหรือตอนนั้นๆ เลย คุณมัวแต่คิด คิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต คิดถึงเรื่องราวต่างๆ นานา จนสุดท้ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ล้มเหลไม่เป็นท่า
4. ต้องทิ้งบางอย่างไว้ข้างหลัง
คนเราควรจะแยกแยะสิ่งที่เกิดขึ้นออกเป็นสองอย่าง
1. เหตุการณ์ หรือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น
2. เรื่องราว หรือ ความรู้สึกนึกคิดของคุณที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ
ตัวอย่างเช่น หากหัวหน้าเรียกคุณไปพบที่ห้องทำงานตอนบ่ายสอง สิ่งที่คุณคิดหรือภาพในหัวข้องคุณคืออะไรครับ? .."เราทำอะไรผิดว่ะ" ถูกไหมครับ ผมจะแยกแยะให้ดู คุณจะมองเห็นว่า เหตุการณ์=หัวหน้าเรียกไปพบ และ เรื่องราว=เราคงต้องโดนด่าแน่ๆ (หรือบางวัฒนธรรมบริษัทที่อาจร้ายแรงถึงขั้นโดนไล่ออก)
เห็นไหมครับ? และคุณสัมผัสความรู้สึกใหม่หลังเราแยกแยะข้อนี้ได้มั้ยครับ เหตุการณ์ก็คือเหตุการณ์ มันเกิดขึ้นและจบลง ส่วนเรื่องราวมันเป็นภาพที่เราแต่งขึ้นเอง แต่ทว่าคนส่วนใหญ่กลับใช้ชีวิตอยู่ในเรื่องราวมากกว่าเหตุการณ์ ซึ่งนั่นเองก็เป็นเหตุผลที่คุณมักจะทำอะไรติดๆ ขัดๆ เพราะชอบเดาไปเองว่ามันต้องแย่อย่างนั้นอย่างนี้ จนสุดท้ายก็มักจะแย่จริงๆ สำหรับคนที่แยกแยะได้ พอมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะใช้เวลาอยู่กับการแก้ไขและปรับปรุงเท่านั้น ส่วนที่ผ่านและจบไปแล้วก็คือจบ ไม่มีเรื่องราว ไม่เสียเวลา และไม่เสียกำลังใจครับ
---------------------------
แบ่งปันความมั่งคั่งอย่างมั่นคงโดย
Wealth Creation
www.wci.co.th/blog
www.facebook.com/wealthcreationpage