Warning: file_get_contents(http://graph.facebook.com/?id=http://wci.co.th/article/Inspiration/184/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81): failed to open stream: HTTP request failed! HTTP/1.1 400 Bad Request in /home/wci/domains/wci.co.th/public_html/blog-detail.php on line 78
งานวิจัยที่นานที่สุดในโลก: Harvard Study of Adult Development
โดยผู้ริเริ่มโครงการวิจัยได้ติดตามศึกษาชีวิตของผู้ชายวัยรุ่น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก
เป็นนักศึกษาชายปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดจำนวน 268 คน ซึ่งมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง
กลุ่มที่สอง
เป็นชายวัยรุ่นอายุ 12 – 16 ปี ในตัวเมืองบอสตันจำนวน 456 คน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เติบโตบนความลำบากและยากจน
ทุกๆ 2 ปี ทีมวิจัยจะให้ทั้ง 724 คนนี้ ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับความพอใจในชีวิตพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในชีวิตการแต่งงาน ความพอใจในหน้าที่การงาน หรือความพอใจทางสังคม และหลายครั้งที่ทีมวิจัย ขอไปสัมภาษณ์พวกเขาถึงที่ห้องรับแขกเพื่อถือโอกาสพูดคุยกับภรรยา
หรือลูกๆ หลานๆ ของพวกเขาด้วย
นอกจากนี้ทุกๆ 5 ปี จะมีการตรวจสอบสุขภาพพวกเขาทั้งรายงานทางการแพทย์ ผลการตรวจเลือด ผลการตรวจปัสสาวะ หรือแม้แต่ผลการ X-ray หรือ สแกนสมอง
โดยตลอดเวลาที่ทำการติดตาม ทีมวิจัยได้เห็นพวกเขาเติบโตไป
ประกอบอาชีพต่างๆ บ้างเป็นคนงานในโรงงาน บ้างเป็นทนาย บ้างเป็นช่างปูน บ้างเป็นหมอ และมีคนหนึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ บางคนติดเหล้า บางคนมีอาการทางประสาท จำนวนไม่น้อยที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถไต่ระดับทางสังคมขึ้นมาได้ ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่เลือกทางเดินที่ตรงข้าม
ความมหัศจรรย์ของการวิจัยนี้ คือ "เป็นงานวิจัยที่ยาวมากซึ่งมีไม่บ่อยนัก"
ส่วนใหญ่มักจะเลิกไปภายใน 10-20 ปี เพราะผู้ถูกวิจัยไม่ยอมให้วิจัยต่อบ้าง
เงินทุนวิจัยหมดบ้าง คนทำวิจัยหันไปทำเรื่องอื่น หรือเสียชีวิตไป แต่ Harvard Study of Adult Development กลับดำเนินมากว่า 75 ปีแล้ว
ผู้ถูกวิจัย 724 คนนั้น เหลือชีวิตรอดแค่ 60 กว่าคนเท่านั้น ซึ่งผู้เหลือรอดเกือบทั้งหมดอยู่ในวัย 90 ปีขึ้นไป
แล้วอะไรบ้างหล่ะ? ที่บรรดานักวิจัยเรียนรู้จากเรื่องราวกว่า 70 ปีของ 700 กว่าชีวิตผ่านทางเอกสาร และข้อมูลเป็นหมื่นๆหน้า
พวกเขาเรียนรู้ว่า...
“ความร่ำรวย”
“ความโด่งดัง”
หรือ "การทำงานอย่างหนักหน่วง"
ไม่ใช่คำตอบของ "การมีชีวิตที่ดี" หรือ "สุขภาพที่ดี" เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เป็น “ความสัมพันธ์ที่ดี” ต่างหาก ที่นำมาซึ่ง "การมีชีวิตที่ดี"
“Good relationships keep us happier and healthier.” ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด (Key Massage)
โรเบิร์ต บอกต่อว่า พวกเขาได้เรียนรู้อีก 3 บทเรียนล้ำค่า ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ (Relationship) คือ
1. Connection is really good for us, loneliness kills.
คุณจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง เพื่อน ครอบครัว หรือสังคม ก็ตาม
ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้จะทำให้คุณมีความสุขกว่า แข็งแรงกว่า และมีอายุที่ยืนยาวกว่า
ในทางกลับกันความเหงาและโดดเดี่ยวนั้นเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันจะทำให้คุณมีความสุขน้อยลง ทำให้ร่างกายคุณเริ่มแย่ลงตั้งแต่วัยกลางคน สมองเสื่อมเร็วขึ้น และมีชีวิตสั้นกว่า
2. Quality is not Quantity.
มันไม่สำคัญที่ปริมาณ หรือรูปแบบของความสัมพันธ์ เช่น "จะต้องแต่งงานเท่านั้น" แต่เป็น “คุณภาพของความสัมพันธ์” ต่างหากที่จะเป็นตัวบ่งชี้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของสามีภรรยา จะส่งผลลบมากกว่าการหย่าร้างที่เข้าใจกันเสียอีก
3. "Good relationships don’t just protect our bodies they protect our brains."
ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น มั่นคง ไว้ใจได้ พึ่งพาได้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้มีสุขภาพกายที่ดีเท่านั้นยังดีต่อสมองด้วย
ความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้มีความทรงจำที่ดีและสมองยังคงใช้งานได้ดีอยู่
ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์ที่ราบรื่นสุดๆ ไม่ทะเลาะกันเลย แต่เป็นความสัมพันธ์ที่รู้ว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องการจริงๆ เราจะมีคนที่พึ่งพาได้
นั่นคือสิ่งที่ "โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์" และทีมงานวิจัยของ ฮาวาร์ด ค้นพบ
ซึ่ง โรเบิร์ต บอกว่า จริงๆแล้ว ผู้ถูกวิจัยเหล่านี้ในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น หรือเริ่มเป็นผู้ใหญ่ใหม่ๆ นั้น ก็เชื่อเหมือนกับที่คนในยุคนี้ว่า "ชื่อเสียง เงินทอง"
จะทำให้พวกเขา "ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดี"
แต่ความจริงจากการศึกษากว่า 75 ปี กลับกลายเป็นว่า
คนที่ให้ความสำคัญกับ
"ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง" ต่างหาก คือ คนที่มีชีวิตที่ดีที่สุด
โรเบิร์ตชวนคิดว่า สิ่งที่ทำให้คนเรามองข้าม “ความสัมพันธ์ที่ดี”แล้วหันไปใส่ใจกับ "ชื่อเสียง เงินทอง" หรือ "หน้าที่การงาน" อาจเป็นเพราะ การมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยากและไม่รู้จบ แถมยังต้องได้รับการใส่ใจตลอดเวลา จนหลายคนเลือกจะ "ทำงานหาเงิน" อย่างเดียว
แต่การเอาใจใส่และการทำความสัมพันธ์ให้ดี ไม่ได้ยากขนาดนั้น
แค่เงยหน้าจากจอมือถือ แล้วสบตาคนรอบตัวให้มากขึ้น หาอะไรใหม่ๆ ทำร่วมกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่จืดจาง กลับมามีสีสันอีกครั้ง
ทำอะไรง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเงิน เช่น ชวนคนรักไปเดินเล่น หรือติดต่อญาติที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว
เพราะชีวิตเรานั้น
"มาร์ก เทวน" บอกว่า มันช่างสั้น แล้วก็สั้นเหลือเกิน
สั้นเกินกว่าที่จะมาโกรธกัน ทะเลาะกัน หรืออิจฉาริษยากัน ควรมีแต่เวลารักกันเท่านั้น ซึ่งแค่นี้มันก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่ "โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์" พูดใน speech ของเขานั่นเองครับ
https://www.ted.com/talks/robert_waldinger_what_makes_a_good_life_lessons_from_the_longest_study_on_happiness?language=enm
---------------------------
แบ่งปันความมั่งคั่งอย่างมั่นคงโดย
Wealth Creation
www.wci.co.th/blog
www.facebook.com/wealthcreationpage